ไม่ว่าจะเป็นตู้เอกสารทั้งที่เป็นตู้เหล็กหรือเป็นตู้ไม้ก็ตาม โดยส่วนมากแล้วก็จะได้รับการออกแบบให้มีการนำเอากระจกเข้ามามีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติที่โปร่งใสมองผ่านทะลุได้ทำให้สามารถที่จะนำเอามาประยุกต์ใช้ได้กับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ยิ่งในปัจจุบันนั้นยังมีรูปแบบผลิตที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งประเภทและคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

กระจกนั้นก็จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภทตามที่ได้กล่าวมา แต่ถ้าแบ่งตามผลงานวิจัยของกลุ่มวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็สามารถที่จะแบ่งตามประเภทได้ดังนี้
เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตโดยตรง ซึ่งเป็นกระจกพื้นฐานโดยทั่วไป สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ กระจกใส และกระจกสี

เป็นกระจกใสที่นำมาผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจกให้มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับแรงกระทำที่มาจากภายนอกได้ดีขึ้น โดยกระจกอบความร้อนจะแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวของกระจก โดยวิธีการนั้นจะเป็นการสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัด (Compressive Stress) ให้เกิดขึ้นที่ผิวของกระจกเพื่อให้สามารถที่จะต้านแรงที่มากระทำจากภายนอกได้ โดยการให้ความร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิที่สูงกว่าจุดอ่อนตัว (Softening Point) ของแก้วเล็กน้อยโดยมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 650-700 องศาเซลเซียส และจากนั้นก็ทำให้เกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็วที่ผิวของกระจก โดยการใช้ลมเย็นเป่า (Air Quenching) ผลที่เกิดของอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างผิวนอกกับส่วนกลางของกระจก ส่งผลให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวด้านนอกของแผ่นกระจกทั้ง 2 ด้าน โดยจะประกบชั้นส่วนกลางลักษณะเหมือนแซนด์วิช และชั้นที่ผิวของกระจกทั้ง 2 ด้านนี้ จะสามารถที่จะต้านแรงจากภายนอกได้เพิ่มมากขึ้นจากกระจกธรรมดาถึงประมาณ 4 เท่า แต่มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ว่า ก่อนที่จะนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริ่งนั้น จะต้องตัดแผ่นกระจกให้ได้ตามขนาดก่อนเพราะกระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริ่งแล้วนั้นเมื่อนำไปตัดจะแตกละเอียดทั้งแผ่น
คือจะให้ความร้อนแก่ผิวกระจกเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ขั้นตอนการทำให้เย็นตัวลงนั้น กรรมวิธีการผลิตแบบฮิตสเตรงเทน จะค่อยๆ ปล่อยให้อุณหภูมิที่แผ่นกระจกค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จำทำให้ความแข็งแกร่งของผิวกระจกนั้นจะมีน้อยกว่าการเทมเปอริ่ง

เป็นกระจกธรรมดาที่นำไปผ่านกระบวนการเคลือบผิวด้วยโลหะบนผิวของกระจกเพื่อให้เกิดการสะท้อนแสงและความร้อนที่ได้รับมาจากแสงอาทิตย์เพื่อนำไปใช้ในการประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และก็เพื่อความสวยงาม กระจกเคลือบผิวจะแบ่งประเภทตามรูปแบบของการเคลือบผิวได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. แบ่งตามประเภทของเครื่องเคลือบผิวกระจกที่มีใช้อยู่ในประเทศไทย ก็จะแบ่งได้เป็น 2 บริษัท ดังนี้
2. แบ่งตามเทคนิคในการเคลือบผิวกระจก โดยจะแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
3. แบบกระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ (Solar Reflective Glass)
เป็นกระจกธรรมดาที่ผ่านการเคลือบผิวด้วยโลหะออกไซด์ ซึ่งจะเน้นคุณสมบัติในการสะท้อนแสง สามารถที่จะสะท้อนแสงอาทิตย์ได้บางส่วน มีค่าในการสะท้อนแสงที่ค่อนข้างสูง ความโปร่งแสงค่อนข้างน้อย มีสีสันที่สวยงามและมีหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสีที่นำมาใช้และรูปแบบของการเคลือบ
4. กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ (Low-E Glass)
เป็นกระจกที่ผ่านการเคลือบผิวด้วยสารโลหะโดยมีโลหะเงินบริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อให้ได้ผิวเคลือบมีค่าการคายรังสี (Emissivity) ที่ต่ำมาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดลักษณะเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน กระจกในลักษณะนี้ยังคงมีความใส ให้ค่าแสงที่ส่งผ่านเข้ามามากและมีค่าการสะท้อนแสงน้อย และมีค่าการคายรังสีน้อยมาก ดังนั้นจึงเป็นกระจกที่มีการแผ่รังสีความร้อนออกจากตัวได้น้อย จึงถูกนำไปใช้งานด้านกระจกที่เป็นฉนวนกันความร้อนเป็นหลัก
วันที่: Wed Nov 05 16:50:54 ICT 2025
|
|
|
|
|
|