Support
RDN เฟอร์นิเจอร์
092-760-5230 , 0629095529
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest
casa98
- Guest -

Post : 2020-10-19 09:37:29.0     Forum: สอบถาม  >  แทงบอลออนไลน์ที่นี่ที่เดียว

แทงบอลออนไลน์ที่นี่ที่เดียว
casa98
แทงบอลออนไลน์
สมัคร casa98

guest

Post : 2015-02-12 11:42:30.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เลือกโต๊ะอาหารให้เหมาะสมกับครอบครัว

โต๊ะรับประทานอาหารกับการเลือกใช้งาน

สำหรับผู้ที่มีบ้านเป็นของตัวเอง และเฟอร์นิเจอร์ตัวหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ที่จะต้องมีไว้ภายในบ้าน นั่นก็คือ โต๊ะทานอาหาร ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกือบทุกบ้านจะต้องมีไว้ อย่างน้อยที่สุดก็มีไว้สำหรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ดังนั้นแล้วโดยส่วนใหญ่ก็จะเลือกโต๊ะที่เข้ากับตัวห้อให้มากที่สุดเพื่อให้ดูดีและเข้ากัน แต่จริงๆ แล้วนั้นยังมีส่วนอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการเลือกโต๊ะมาใช้สักตัวหนึ่ง

รูปทรงของโต๊ะรับประทานอาหาร

โต๊ะรับประทานอาหารนั้นจะมีรูปทรงหลักๆ อยู่ 3 แบบ คือ

  • ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส
  • ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
  • ทรงกลม

โต๊ะสี่เหลี่ยมจตุรัส : ขนาดที่เหมาะสมและดูสวยงามมากที่สุด ควรจะนั่งได้ไม่เกินสี่คน เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยู่กันสองคน เป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่ต้องการพื้นที่ใช้งานมากนัก และยังมีที่นั่งเผื่อสำหรับอีกสองคนสำหรับไว้รับแขกได้ด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้กับห้องที่มีขนาดเล็ก อย่าง อพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม หรือในสวนหย่อม เป็นต้น

 

 

โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า : โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้โต๊ะแบบนี้ เนื่องจากสามารถนั่งกันได้หลายคน และยังมีรูปทรงที่ดูร่วมสมัยมากขึ้น ขนาดที่เหมาะสมและดูสวยงามนั้น ควรจะนั่งได้ไม่เกิน 5 คน เนื่องจากว่าทุกคนสามารถที่จะตักอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างสะดวกโดยที่ไม่ต้องลุก โต๊ะแบบนี้สามารถที่จะรองรับแขกได้มากเหมาะสำหรับจัดงานปาร์ตี้ แต่จะมีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่า สามารถที่จะสนทนากับคนที่อยู่ใกล้กันได้เท่านั้น และเป็นโต๊ะที่ต้องการพื้นที่ที่มีหน้ากว้างพอสมควร

 

 

โต๊ะกลม : โต๊ะที่คนจีนส่วนใหญ่ชอบใช้ เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ และโต๊ะก็จะมีขนาดใหญ่ เวลานั่งรับประทานอาหารก็จะนั่งล้อมวงกัน สามารถที่จะเห็นหน้าและสนทนากันได้อย่างทั่วถึง เพียงแต่อาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าไรนัก กลางโต๊ะจะหมุนได้ มีไว้สำหรับวางกับข้าว สำหรับให้ผู้ร่วมรับประทานหมุนและตักได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องลุกขึ้นตัก

 

 

รูปแบบและวัสดุที่ผลิตขึ้นมาเป็นโต๊ะ

ความสวยงามและสไตล์ของโต๊ะนั้นจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่เลือกใช้และการออกแบบอย่างลงตัว โดยส่วนใหญ่ก็จะเป้นไม้ทั้งตัว ไม้ลามิเนต โต๊ะพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส โต๊ะหินอ่อน โต๊ะกระจก แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้งานนั่นก็คือ

  • ต้องสามารถที่จะทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี ทนต่อความร้อนความเย็น และความชื้นได้
  • ทนต่อความเป็นกรดและด่างได้
  • ทำความสะอาดง่าย
  • โต๊ะที่มีมุม มุมของโตีะจะต้องปิดขอบไม่ให้มีความคมแหลม และไม่ทำอันตรายต่อผู้ใช้งาน และป้องกันการกระแทกได้ดี

ความเหมาะสมกับพื้นที่ภายในห้อง

 

 

ในการเลือกโต๊ะอาหารมาใช้นั้น นอกจากจะคำนึงถึงปริมาณของผู้อยู่อาศัยแล้ว ก็ยังจะต้องพิจารณาถึงพื้นที่ภายในห้องด้วย โต๊ะที่มีขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้ห้องแออัดและไม่คล่องตัว ดังนั้นควรจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันภายในห้องด้วย เช่นการมีตู้เย็น หรือโต๊ะเครื่องครัว ตู้เก็บอาหาร เก้าอี้ที่จัดวางแต่ละตำแหน่งรอบโต๊ะ รวมไปถึงพื้นที่ในการเดินได้อย่างสะดวก ซึ่งจะต้องพิจารณาก่อนที่จะเลือกซื้อโต๊ะมาใช้งาน

guest

Post : 2015-02-06 17:06:28.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สภาพอากาศกับโต๊ะทำงาน

สภาพอากาศภายนอกส่งผลกับโต๊ะทำงานอย่างไร?

 

สำหรับโต๊ะที่ใช้ในการทำงานนั้นส่วนใหญ่แล้วก็จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในอาคาร ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภายนอกนั่นเอง แต่เมื่อใดก็ตาม ถ้าย้ายโต๊ะทำงานออกมาตั้งไว้ด้านนอก โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น แสงแดดที่ส่องลงมา อากาศชื้นในตอนเช้า เปียกในยามที่ฝนตก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อโต๊ะที่ใช้โดยตรง ยิ่งถ้าเป็นโต๊ะไม้ย่อมเห็นผลได้อย่างชัดเจน

โต๊ะที่ผลิตขึ้นด้วยไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้แปรรูปหรือไม้อัดขึ้นรูปก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดก็จะทำให้กรอบและแห้งขนาดความยืดหยุ่นและมีสีของเนื้อไม้ที่ซีดจางลงดูไม่สวยงาม ทั้งยังเสื่อมสภาพได้เร็ว และเมื่อมีอากาศชื้นในตอนเช้า ความชื้นในบริเวณโดยรอบจะแทรกเข้าไปตามร่องของเนื้อไม้ทำให้เกิดการพองตัวขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอกัน ทำให้ดูไม่สวยงามและไม่เรียบ และถ้าเป็นไม้อัดขึ้นรูปยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน และเมื่อความชื้นนั้นระเหยออกไป ก็จะไม่สามารถหดตัวกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าฝนได้รับน้ำฝนโดยตรง ก็ยิ่งทำให้การพองตัวของผิวหน้าของเนื้อไม้มีมากขึ้น และอาจส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ดังนั้นแล้วสำหรับโต๊ะไม้จึงไม่นิยมเอามาตั้งภายนอกอาคารเท่าไรนัก เว้นแต่จะเป็นเนื้อไม้แข็ง อย่างเช่นไม้สักที่มีความหนาแน่นของเนื้อไม้ที่สูงมาก จึงใช้งานนอกอาคารได้

โต๊ะที่มักนิยมใช้งานภายนอกอาคาร ก็จะเป็นโต๊ะเหล็กพ่นสี ซึ่งโต๊ะเหล็กนั้นจะมีความทนทานต่อสภาพแสงแดดได้ดี แต่ไม่ทนต่อความชื้นและน้ำ แต่เมื่อทำการเคลือบสีที่กันความชื้นและน้ำไว้แล้วก็สามารถที่จะช่วยป้องกันสภาพอากาศในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี

 

guest

Post : 2015-01-29 12:35:08.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของโต๊ะพับ

โต๊ะพับ

 

โต๊ะพับนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ลักษณะงานที่ใช้ บางแบบนั้นเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมจตุรัส บางแบบนั้นก็เป็นโต๊ะยาว และก็มีอีกหลายๆ แบบที่เป็นโต๊ะกลม เรื่องของวัสดุที่ใช้เป็นแผ่นโต๊ะนั้นก็แตกต่างออกไป บางแบบก็จะใช้เนื้อไม้ บางแบบก็จะเป็นเหล็กแผ่นขึ้นรูป บางแบบก็เป็นพลาสติก และอื่น ๆ แต่ก็จะมีองค์ประกอบหลักที่ตรงกันนั่นก็คือ พับได้

ประโยชน์ที่ได้รับ

  1. เนื่องจากสามารถพับได้ จึงไม่เกะกะพื้นที่ใช้สอย หลังจากใช้งานเรียบร้อยแล้ว
  2. สามารถนำไปใช้นอกสถานที่ได้อย่างสะดวก เพราะมีน้ำหนักเบา และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  3. นำใส่ยานพาหนะคราวละมาก ๆ ได้ สำหรับรับจัดงานเลี้ยง ทำให้ไม่ต้องขนย้ายหลายเที่ยว
  4. สามารถนำไปใช้กับงานได้ทุกประเภท เนื่องจากมีหลายรูปแบบให้เลือก
  5. ดูแลรักษาง่าย เพราะโครงสร้างไม่มีอะไรที่ซับซ้อน
  6. มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ถ้าดูแลรักษาดี สามารถใช้งานได้เป็นสิบปี
  7. เป็นที่นิยมนำไปทำธุรกิจด้านงานจัดเลี้ยงต่าง ๆ ได้ทุกประเภท

เพียงส่วนหนึ่งเท่านี้ก็ทำให้สามารถตัดสินใจได้ว่าในบ้านของคุณนั้น น่าจะมีโต๊ะพับไว้สักตัวหนึ่งสำหรับรับแขก เพราะงานเลี้ยงสังสรรค์ไม่จำเป็นต้องจัดภายในบ้านเสมอไป

 

guest

Post : 2015-01-22 12:22:23.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ขอบโต๊ะไม้

ความสำคัญของขอบโต๊ะไม้

สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์สำนักงานนั้น ทุกส่วนองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ถือได้ว่ามีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าของวัสดุ ไปกระทั่งวัสดุที่ใช้ในการยึดชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน สำหรับของของโต๊ะทำงานก็เช่นกัน เพราะถ้าได้รับการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่ไม่มีความเหมาะสมก็จะทำให้มีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้ โดยเฉพาะโต๊ะที่เป็นแผ่นไม้อัด

เนื่องจากขอบของโต๊ะนั้นเป็นส่วนผิวที่เป็นชั้น ๆ ของเนื้อไม้ ดังนั้นแล้วจึงเป็นส่วนที่อ่อนแอต่อความเสียหายและการเสื่อมสภาพมากที่สุดเมื่อเทียบกับผิวหน้าของเนื้อไม้ที่มีความหนาแน่นและโครงสร้างการยึดเกาะที่ดีกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องหาวัสดุที่เหมาะสมนำมาปิดเพื่อแก้ไขส่วนที่บกพร่องดังกล่าว

วัสดุปิดขอบโต๊ะ

ยางปิดขอบ : โดยปกติเป็นสีดำ มีความยืดหยุ่นที่ดีเมื่อรับแรงกระแทก แต่ทนความร้อนหรืออุณหภูมิสูงได้ไม่ดีนัก มีอายุการใช้งานตามคุณสมบัติของวัสดุ

PVC : ผลิตขึ้นจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง สามารถทนความร้อนได้และมีความยึดหยุ่นสูง สามารถเลือกสีได้โดยกำหนดตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตเม็ดพลาสติก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

แผ่นลามิเนต : เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติ ทนต่อแรงกระแทก ความร้อน และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

เคลือบผิวด้วยเมลามีน : วัสดุที่ใช้จะเป็นวัสดุประเภทเดียวกับลามิเนต แต่กรรมวิธีการผลิตนั้นจะเคลือบลงที่ผิวของขอบโต๊ะโดยตรง ซึ่งการปิดขอบด้วยวิธีนี้จะต้องทำตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตในโรงงานเท่านั้น ซึ่งสามารถทนทานต่อแรงกระแทก ทนต่อความร้อนที่อุณหภูมิสูงได้ ป้องกันรอยขีดข่วน และสามารถกันน้ำได้

 

 

guest

Post : 2015-01-13 16:17:13.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของตู้โชว์

ตู้โชว์นั้นให้ประโยชน์ได้มากกว่าความสวยงาม

 

สำหรับห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่มักจะนิยมมีไว้ภายในห้องด้วยนั่นก็คือตู้โชว์ เพราะว่านอกจากจะมีไว้สำหรับใส่ของตกแต่งต่างๆ แล้วนั้น บางแบบที่ได้พบเห็นกันก็จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับวางทีวีได้อีกด้วยเพื่อใช้สำหรับกิจกรรมกลุ่มในการชมภาพยนต์ร่วมกัน และไม่เพียงแค่นั้นก็ยังมีการออกแบบเพิ่มเติมให้มีเคาท์เตอร์ทางด้านข้างสำหรับวางชุดเครื่องดื่ม มีที่แขวนแก้วไวน์ และจุดวางอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครัน เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมหรือการพบปะสังสรรค์สำหรับแขกผู้มาเยือนหรือสมาชิกภายในครอบครัว ทำให้ตู้โชว์ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น และในบางแบบนั้นก็ยังมีช่องสำหรับเก็บสิ่งของต่างๆ ทำให้ไม่ต้องวางสิ่งของไว้ตามที่ต่างๆ ให้ดูรกตา เมื่อต้องการก็สามารถที่จะนำมาใช้ได้โดยง่าย ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าคุณประโยชน์ของตู้โชว์นั้น มีอยู่หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าต้องการให้มีประโยชน์ไปทางด้านใด ดังนั้นแล้วในการเลือกซื้อนั้นก็ควรที่จะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการไว้อย่างชัดเจนก่อนที่จะซื้อมาใช้งาน

 

guest

Post : 2015-01-06 09:57:44.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ข้อดีของโต๊ะผิวหน้าเมลามีน

ข้อดีของโต๊ะที่เคลือบผิวหน้าด้วยเมลามีน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมลามีนนั้นมีคุณสมบัติในการป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทนอุณหภูมิสูงได้ และยังมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ ดังนั้นแล้วเมื่อนำเอาวัสดุชนิดนี้มาเคลือบผิวหน้าของโต๊ะ เราก็จะได้คุณสมบัติที่ดีต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. ทำให้ผิวหน้าของโต๊ะแลดูสวยงาม เงาเป็นมันวาว
  2. ทนทานต่อรอยขีดข่วนต่างๆ และการเสียดสีได้เป็นอย่างดี ทำให้ไม่เกิดรอยที่ผิวโต๊ะแต่อย่างใด
  3. ป้องกันการรั่วซึมของน้ำและความชื้น เช่น วางแก้วน้ำเย็นๆ ไว้บนโต๊ะ หยดน้ำที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถซึมผ่านผิวโต๊ะลงไปได้ ทำให้ไม่เกิดการหลุด ร่อน หรือรอยด่างที่ผิว
  4. ทนอุณหภูมิสูงได้เป็นอย่างดี สามารถวางแก้วกาแฟร้อนๆ ไว้บนโต๊ะได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าผิวโต๊ะจะเสีย
  5. แม้จะทำน้ำหกแล้วทิ้งไว้นาแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่เป็นรอยด่าง หรือหลุดร่อน
  6. ทำความสะอาดง่าย เพียงใช้ผ้าสะอาดเช็ดก็ขจัดรอยคราบต่างๆ ให้หมดไปได้โดยง่าย
  7. ทำให้ผิวโต๊ะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น

จะเห็นได้ว่าผลดีที่เกิดขึ้นสำหรับการเลือกใช้โต๊ะที่เคลือบผิวหน้าด้วยเมลามีนนั้น ช่วยให้คุณสบายใจได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลในขณะใช้งานบนโต๊ะ ทำให้สะดวก ใช้งานได้อย่างเต็มที่ตามความต้องการ

 

 

 

guest

Post : 2014-12-22 10:11:01.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  แสงสว่างสำหรับโต๊ะทำงาน

การเลือกใช้แสงสว่างสำหรับโต๊ะทำงาน

เกี่ยวกับแสงสว่าง

แสงที่ใช้อยู่ในห้องทำงานหรือในบ้านนั้นก็จะมีการจำแนกประเภทออกเป็น 2 ระบบ นั่นก็คือ ระบบการให้แสงหลัก และ ระบบการให้แสงรอง

ระบบการให้แสงหลักนั้นก็คือ การออกแบบระบบการให้แสงสว่างนั้นมีความสว่างเพียงพอเป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการใช้งานในพื้นที่นั้น ๆ โดยจะแยกออกเป็นระบบย่อยดังนี้

  • แสงสว่างโดยทั่วไป (General Lighting) : จะเป็นการให้แสงกระจายไปทั่วทั้งบริเวณเท่า ๆ กัน ทั่วทั้งห้อง แสงแบบนี้จะไม่เน้นความสวยงาม เช่นการติดตั้งหลอดฟลูออเรสเซ้นส์ไว้ใต้เพดาน
  • แสงสว่างเฉพาะที่ (Localized Lighting) : การให้แสงแบบนี้จะให้สำหรับเฉพาะในส่วนของพื้นที่ทำงานเท่านั้น แต่จะเป็นแสงที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น การใช้โคมไฟตั้งโต๊ะ
  • แสงสว่างเฉพาะที่และทั่วไป (Local Lighting + General Lighting) : จะใช้ในกรณีที่ต้องการแสงสว่างที่มากพอสมควร ซึ่งก็จะเป็นการนำสองแบบแรกมาใช้งานร่วมกัน

ระบบการให้แสงรอง จะเป็นการออกแบบการให้แสงเพื่อเกิดความสวยงาม หรือเน้นให้เกิดความน่าสนใจเป็นพิเศษ ดูแล้วสบายตาและได้อารมณ์ ซึ่งก็จะแยกออกเป็นระบบได้ดังนี้

  • แสงสว่างแบบส่องเน้น (Accent Lighting) : จะเป็นการให้แสงแบบส่องเน้นเข้าไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งเพื่อดึงดูดความสนใจ เช่นแสงสปอต
  • แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) : จะเป็นการให้แสงเพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความน่าสนใจ แต่จะไม่เน้นส่องไปที่วัตถุ
  • แสงสว่างตกแต่ง (Decorative Lighting) : การให้แสงแบบนี้จะมาจากโคมหรือใช้หลอดไฟที่มีความสวยงาม เพื่อสร้างจุดสนใจ
  • แสงสว่างงานสถาปัตยกรรม (Architectural Lighting) : เป็นการให้แสงเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับงานทางด้านสถาปัตยกรรม เช่นการให้แสงเพื่อให้เกิดมีลักษณะของเงาให้ดูมีมิติ
  • แสงสว่างตามอารมณ์ (Mood Lighting) : จะใช้สวิตช์หรืออุปกรณ์หรี่ไฟเพื่อใช้สร้างบรรยากาศของแสงให้ได้ระดับที่ต้องการสำหรับการใช้งาน

 

การให้แสงสว่างบนโต๊ะทำงาน

ในห้องทำงานนั้นควรจะมีการให้ทั้งแสงหลักและแสงรองอย่างสัมพันธ์กัน ให้แสงที่เป็นแสงหลักเพื่อให้เกิดความสว่างทั่วทั้งบริเวณภายในห้องทำงาน และใช้แสงรองเฉพาะบริเวณพื้นที่ทำงานโดยให้เกิดความสบายตาให้ได้มากที่สุดและจะต้องเป็นแสงที่สม่ำเสมอกันตลอดการใช้งาน จะช่วยถนอมสายตา ลดการเมื่อยล้าจากการเพ่งเป็นเวลานานๆ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อตาและอาการปวดศีรษะ

 

 

guest

Post : 2014-12-11 11:39:21.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เคลือบผิวไม้ด้วย แลคเกอร์

แลคเกอร์ (Lacquer) เคลือบผิวไม้ให้เงางาม

เมื่อกล่าวถึงงานไม้ หลังจากที่ผ่านการขัดผิวเรียบแล้วก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความขรุขระที่เกิดจากรอยเสี้ยนของเนื้อไม้ปรากฎอยู่ ดังนั้นจึงต้องมีการปิดผิวหรือเคลือบผิวให้เรียบลื่นและดูสวยงาม และกรรมวิธีการหนึ่งนั้นที่เป็นที่นิยมก็คือการเคลือบผิวด้วยแลคเกอร์ เนื่องจากปิดผิวไม้ได้อย่างดีแล้วยังทำให้ดูผิวของเนื้อไม้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย

วัตถุประสงค์ในการเคลือบผิวด้วยแลคเกอร์

เพื่อใช้ในการปกปิดผิวไม้ให้ดูเรียบลื่นและเป็นเงางาม ป้องกันการเกิดเชื้อราที่ผิวไม้ ป้องกันการขีดข่วน และยังสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานด้วยการป้องกันการผุกร่อนได้อีกด้วย

ไนโตรเซลลูโลส แลคเกอร์ (Nitrocellulose Lacquer)

ผลิตได้จากไนโตรเซลลูโลสผสมกับเรซิ่นสังเคราะห์ทำให้มีคุณสมบัติที่แห้งเร็ว และสามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศได้เป็นอย่างดี ทนต่อการทำปฏิกิริยาจากสารเคมีได้หลายชนิด มีโครงสร้างของชั้นผิวที่แข็งแรงทนต่อการขีดข่วน

ข้อดี

  • ในสภาพอากาศปกติ จะแห้งได้เร็ว
  • ใช้งานง่าย ผสมกับสารละลายอย่างเช่นทินเนอร์ได้ง่ายด้วยขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก
  • ซ่อมแซมได้ง่าย
  • ช่วยให้เห็นถึงความสวยงามของเนื้อไม้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้อเสีย

  • ไม่สามารถทำการเคลือบผิวซ้ำได้หลายครั้ง
  • ไม่คงทนต่อการแช่ในน้ำ หรือสารเคมี
  • เมื่อมีอายุการใช้งานมากขึ้น สีจะมีการเปลี่ยนแปลง
  • สามารถลุกติดไฟได้ง่าย

อะคริลิค แลคเกอร์ (Acrylic Lacquer)

ผลิตจากอะคริลิคเรซิ่น มีคุณสมบัติที่แห้งเร็ว ใช้งานง่าย สามารถทนต่อสภาพอากาศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี สามารถใช้กับงานภายนอกอาคารได้ เพราะทนต่อสภาพแสงแดดได้เป็นเวลานาน และสีผิวจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมาะสำหรับเคลือบผิวที่ต้องการเน้นความสวยงามเป็นพิเศษ

 

 

guest

Post : 2014-11-28 10:57:23.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เก็บเอกสารอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพ

จัดเก็บเอกสารให้มีประสิทธิภาพ

เอกสารต่าง ๆ ที่อยู่ภายในสำนักงาน โดยปกติแล้วจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังแบ่งแยกข้อมูลออกไปอีกเป็นหลายประเภท ดังนั้นแล้วถ้าไม่มีการจัดระบบและแยกหมวดหมู่ของเอกสารต่าง ๆ เหล่านั้น ย่อมทำให้ค้นหาได้ยาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการจัดการอย่างเหมาะสม

ขั้นตอนการคัดแยกเอกสาร

  1. รวบรวมเอกสารที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันหรือประเภทเดียวกันมาไว้ในส่วนเดียวกัน
  2. แยกเอกสารในส่วนที่ใช้งานและไม่ได้ใช้งานแล้วแยกออกจากกัน
  3. นำเอกสารบรรจุลงในตู้หรือชั้นวาง โดยเรียงลำดับเอกสารที่ใช้งานบ่อยให้อยู่ใกล้หยิบได้สะดวก หมวดหมู่เอกสารที่ต้องมีการใช้เป็นประจำให้อยู่ในระดับที่หยิบหรือค้นหาได้ง่ายที่สุด นอกนั้นเอกสารที่มีความสำคัญมากให้อยู่ชั้นบน เอกสารที่มีความสำคัญน้อยให้อยู่ชั้นล่าง
  4. ตู้เอกสารที่เก็บเอกสารแต่ละประเภทนั้น จัดวางตู้ที่มีความต้องการมากที่สุดให้อยู่ใกล้ทางเดินที่สุด ที่ไม่ค่อยได้ใช้วางให้อยู่ด้านใน
  5. จัดทำป้ายสารบัญให้กับตู้แต่ละใบ พร้อมทั้งข้อความหรือหมายเลขกำกับให้กับแต่ละช่องบรรจุเอกสาร

ประโยชน์ที่ได้รับ

  • ทำให้สามารถค้นหาเอกสารที่ต้องการได้อย่างสะดวก
  • ประหยัดเวลาในการค้นหา เพราะเอกสารได้แยกหมวดหมู่และประเภทอย่างชัดเจน
  • ป้องกันเรื่องการสูญหาย เนื่องจากมีตู้หรือชั้นวางทำให้เอกสารถูกจัดเก็บอย่างเป็นที่เป็นทาง
  • สามารถนำมาคัดแยกเอกสารเก่าที่ไม่ใช้แล้วได้อย่างง่ายดาย
  • ควบคุมการจัดเก็บเอกสารใหม่ได้โดยง่าย

เพียงขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ ก็จะทำให้สามารถจัดการเอกสารที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

 

guest

Post : 2014-11-10 16:01:18.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  รู้จักเฟอร์นิเจอร์ Built In

ทำความรู้จักกับเฟอร์นิเจอร์ Built In

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและรักการต้องแต่งห้องให้ดูสวยงามนั้นจะรู้จักกันดีอยู่แล้วว่า เฟอร์นิเจอร์แบบ Built In คืออะไร แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยนั้นอาจจะต้องมาทำความรู้จักกันก่อนเพื่อให้เข้าใจถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะสมกับความต้องการ

 

เฟอร์นิเจอร์ Built In คืออะไร?

สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีขายกันโดยทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านขายเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่แล้วนั้น จะเรียกว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว คือทางผู้ผลิตได้ทำการผลิตออกมาครั้งละมากกว่า 1 ชิ้นแล้วนำมาวางจำหน่ายหรือส่งต่อไปยังตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ดังนั้นจะเป็นได้ว่าจะมีรูปแบบที่ซ้ำๆ กัน และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก แต่มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่า อาจจะไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องได้อย่างสมบูรณ์นัก

ส่วนเฟอร์นิเจอร์แบบ Built In นั้น จะเป็นรูปแบบที่ผู้ใช้สามารถที่จะกำหนดได้เองเลยว่า จะให้มีรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการนั้นออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถที่จะขอคำปรึกษากับทางผู้ผลิตได้โดยตรง ดังนั้นในรูปแบบของ Built In นี้ จะให้ความลงตัวกับสภาพแวดล้อมภายในห้องได้มากกว่าแบบแรก แต่จะมีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าเฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้จะได้รับการออกแบบให้พอดีกับสัดส่วนภายในห้อง ซึ่งเมื่อทำการติดตั้งแล้วอาจจะไม่สามารถที่จะขนย้ายออกมาได้ คือจะเป็นแบบติดตั้งตายตัว เช่น ตู้เสื้อผ้า ตู้โชว์ ชุดห้องครัว ชั้นวางต่างๆ เป็นต้น

ดังนั้นแล้วในการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์นั้นจะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยรวมก่อนว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไรบ้าง เพราะสำหรับเฟอร์นิเจอร์แต่ละประเภทนั้นก็จะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป

 

guest

Post : 2014-11-06 16:17:01.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กระจก

กระจก วัสดุที่ต้องมีใช้งานกับเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน

ไม่ว่าจะเป็นตู้เอกสารทั้งที่เป็นตู้เหล็กหรือเป็นตู้ไม้ก็ตาม โดยส่วนมากแล้วก็จะได้รับการออกแบบให้มีการนำเอากระจกเข้ามามีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติที่โปร่งใสมองผ่านทะลุได้ทำให้สามารถที่จะนำเอามาประยุกต์ใช้ได้กับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ยิ่งในปัจจุบันนั้นยังมีรูปแบบผลิตที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งประเภทและคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

 

ประเภทของกระจก

กระจกนั้นก็จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภทตามที่ได้กล่าวมา แต่ถ้าแบ่งตามผลงานวิจัยของกลุ่มวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็สามารถที่จะแบ่งตามประเภทได้ดังนี้

  1. กระจกธรรมดา (Float Glass)
  2. กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass)
  3. กระจกเคลือบผิว หรือกระจกสะท้อนแสง (Surface Coated Glass)
  4. กระจกดัดแปลง
  5. กระจกอื่นๆ

 

กระจกธรรมดา (Float Glass)

 

เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตโดยตรง ซึ่งเป็นกระจกพื้นฐานโดยทั่วไป สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ กระจกใส และกระจกสี

 

  • กระจกใส (Clear Glass) : จะมีลักษณะโปร่งแสงสามารถมองทะลุผ่านได้อย่างชัดเจนและให้ภาพสะท้อนที่ได้ออกมานั้นสมบูรณ์ไม่บิดเบี้ยว กระจกชนิดนี้จะยอมให้แสงผ่านไปได้ประมาณ 75-92 % ของแสงที่มาตกกระทบ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะขึ้นอยู่กับความหนาของกระจกด้วย

  • กระจกสี (Tinted Glass) : หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือกระจกดูดกลืนความร้อน (Heat Absorbing Glass) ในกระบวนการผลิตนั้นจะผสมโลหะออกไซด์เข้าไปในส่วนผสม (Batch Mix) ในขั้นตอนการผลิต  ทำให้เกิดเป็นสีสันต่างๆ ขึ้นมา รวมถึงคุณสมบัติในการดูดกลืนความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบที่ผิวของกระจกและลดปริมาณแสงที่ผ่านกระจก ปริมาณแสงที่จะทะลุผ่านกระจกสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี ความหนาและสีของกระจก

 

กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass)

 

เป็นกระจกใสที่นำมาผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจกให้มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับแรงกระทำที่มาจากภายนอกได้ดีขึ้น โดยกระจกอบความร้อนจะแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

 

  • กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Glass) : กรรมวิธีนี้จะเป็นการนำเอากระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริ่ง (Tempering) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวของกระจก โดยวิธีการนั้นจะเป็นการสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัด (Compressive Stress) ให้เกิดขึ้นที่ผิวของกระจกเพื่อให้สามารถที่จะต้านแรงที่มากระทำจากภายนอกได้ โดยการให้ความร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิที่สูงกว่าจุดอ่อนตัว (Softening Point) ของแก้วเล็กน้อยโดยมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 650-700 องศาเซลเซียส และจากนั้นก็ทำให้เกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็วที่ผิวของกระจก โดยการใช้ลมเย็นเป่า (Air Quenching) ผลที่เกิดของอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างผิวนอกกับส่วนกลางของกระจก ส่งผลให้เกิดชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวด้านนอกของแผ่นกระจกทั้ง 2 ด้าน โดยจะประกบชั้นส่วนกลางลักษณะเหมือนแซนด์วิช และชั้นที่ผิวของกระจกทั้ง 2 ด้านนี้ จะสามารถที่จะต้านแรงจากภายนอกได้เพิ่มมากขึ้นจากกระจกธรรมดาถึงประมาณ 4 เท่า แต่มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ว่า ก่อนที่จะนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริ่งนั้น จะต้องตัดแผ่นกระจกให้ได้ตามขนาดก่อนเพราะกระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริ่งแล้วนั้นเมื่อนำไปตัดจะแตกละเอียดทั้งแผ่น
  • กระจกฮีตสเตรงเทน (Heat Strengthen Glass) : โดยกรรมวิธีการผลิตนั้นก็จะมีลักษณะที่คล้ายกับกระบวนการเทมเปอริ่ง คือจะให้ความร้อนแก่ผิวกระจกเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ขั้นตอนการทำให้เย็นตัวลงนั้น กรรมวิธีการผลิตแบบฮิตสเตรงเทน จะค่อยๆ ปล่อยให้อุณหภูมิที่แผ่นกระจกค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จำทำให้ความแข็งแกร่งของผิวกระจกนั้นจะมีน้อยกว่าการเทมเปอริ่ง

 

 

กระจกเคลือบผิว (Surface Coated Glass)

 

 

เป็นกระจกธรรมดาที่นำไปผ่านกระบวนการเคลือบผิวด้วยโลหะบนผิวของกระจกเพื่อให้เกิดการสะท้อนแสงและความร้อนที่ได้รับมาจากแสงอาทิตย์เพื่อนำไปใช้ในการประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และก็เพื่อความสวยงาม กระจกเคลือบผิวจะแบ่งประเภทตามรูปแบบของการเคลือบผิวได้เป็น 2 ประเภท คือ

 

1. แบ่งตามประเภทของเครื่องเคลือบผิวกระจกที่มีใช้อยู่ในประเทศไทย ก็จะแบ่งได้เป็น 2 บริษัท ดังนี้

  • แบบแอร์โค่ (AIRCO) : กรรมวิธีการเคลือบผิวของแอร์โค่นั้นจะใช้ไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Ti) เป็นโลหะหลักที่ใช้ในการเคลือบผิวของกระจก สามารถที่จะเคลือบให้มีสีสัน ภาพลักษณ์ และคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานที่แตกต่างกัน
  • แบบเลย์โบลด์ (LEYBOLD) : เป็นการเคลือบผิวของกระจกโดยใช้ดีบุกบริสุทธิ์เป็นหลักในการเคลือบผิวกระจก ในเรื่องคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานนั้นจะใกล้เคียงกับแบบแอร์โค่ แต่สีสันที่ได้นั้นจะแตกต่างออกไป

 

2. แบ่งตามเทคนิคในการเคลือบผิวกระจก โดยจะแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้

  • เคลือบแบบสุญญากาศ (Vacuum Deposition or Sof Coating) : จะใช้การพ่นโลหะออกไซด์บางชนิดบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของแผ่นกระจก กระแสไฟฟ้าที่ส่งผ่านเข้าไปนั้นจะทำปฏิกิริยาทำให้โลหะเกาะบนผิวของกระจก แต่การเคลือบด้วยวิธีนี้ สารที่เคลือบผิวลงไปนั้นจะถูกขูดออกได้ง่าย แต่มีข้อดีตรงที่ว่าสารที่เคลือบลงไปนั้นจะเคลือบลงไปทุกอณูของผิวกระจก
  • เคลือบแบบไพโรลิทิค (Pyrolitic Deposition or Hard Coating) : กระจกที่จะทำการเคลือบนั้นจะยังอยู่ในลักษณะที่เป็นของเหลว โลหะออกไซด์ที่ใช้เคลือบนั้นจะกระจายแทรกซึมเข้าไปในเนื้อของกระจกด้วย ถึงแม้ว่าโลหะออกไซด์จะไม่สามารถที่จะกระจายไปได้ทั่วทุกอณูพื้นผิวของกระจกได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็มีความทนทานและแข็งแรงมากกว่าการเคลือบแบบสุญญากาศ

 

3. แบบกระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ (Solar Reflective Glass)

เป็นกระจกธรรมดาที่ผ่านการเคลือบผิวด้วยโลหะออกไซด์ ซึ่งจะเน้นคุณสมบัติในการสะท้อนแสง สามารถที่จะสะท้อนแสงอาทิตย์ได้บางส่วน มีค่าในการสะท้อนแสงที่ค่อนข้างสูง ความโปร่งแสงค่อนข้างน้อย มีสีสันที่สวยงามและมีหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสีที่นำมาใช้และรูปแบบของการเคลือบ

 

4. กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ (Low-E Glass)

เป็นกระจกที่ผ่านการเคลือบผิวด้วยสารโลหะโดยมีโลหะเงินบริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อให้ได้ผิวเคลือบมีค่าการคายรังสี (Emissivity) ที่ต่ำมาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดลักษณะเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน กระจกในลักษณะนี้ยังคงมีความใส ให้ค่าแสงที่ส่งผ่านเข้ามามากและมีค่าการสะท้อนแสงน้อย และมีค่าการคายรังสีน้อยมาก ดังนั้นจึงเป็นกระจกที่มีการแผ่รังสีความร้อนออกจากตัวได้น้อย จึงถูกนำไปใช้งานด้านกระจกที่เป็นฉนวนกันความร้อนเป็นหลัก

 

guest

Post : 2014-10-29 12:28:51.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เฟอร์นิเจอร์แบบน็อคดาวน์

เฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์

ในปัจจุบันนั้นการประกอบเฟอร์นิเจอร์นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เนื่องจากผู้ใช้นั้นสามารถที่จะประกอบด้วยตัวเองได้ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์แบบนี้จะเรียกว่าเป็นแบบน็อคดาวน์ เพราะทางผู้ผลิตเพียงแต่ยึดอุปกรณ์บางอย่างเข้าไปที่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของเฟอร์นิเจอร์ เหลือเพียงรอการประกอบให้เป็นรูปร่างเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่ีว่าต้องการความสะดวกในการขนย้ายนั่นเอง

อุปกรณ์ที่ใใช้ยึดสำหรับเฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์

  1. Bolt : ที่นิยมกันก็จะใช้ขนาด M6
  2. Direct Nut : จะมีลักษณะเป็นเกลียวตัวหนอนเพื่อที่จะฝังเข้าไปในเนื้อไม้ โดยการใช้ Bolt ขันเข้าไปเพื่อให้ดูดเนื้อไม้เข้าหากัน
  3. Dowel : จะมีลักษณะที่เป็นการขวางลงไปบนเนื้อไม้ แล้วใช้ Bolt ขันให้ดูดเนื้อไม้เข้าหากัน
  4. T Nut : จะมีลักษณะเป็นเขี้ยว ใช้ตอกลงไปบนเนื้อไม้ แล้วใช้ Bolt ขันอัดเข้าไป
  5. Cap หมวก : จะใช้ในการขันเพื่อดูดไม้เข้าหากัน ทางด้านหัวจะเป็นร่องไว้สำหรับใช้ประแจหกเหลี่ยมในการขัน
  6. เดือย : สำหรับใช้ในการประคองไม้ไม่ให้ดิ้นหรือโยกคลอน

อุปกรณ์แต่ละชนิดจะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสวยงาม เช่น

Dowel : จะเหมาะสำหรับงานที่ต้องมีการเข้ามุม เช่นขาโต๊ะกับพนัง โดยจะต้องใช้เดือยเพื่อช่วยในการยึดไม้ไม่ให้โยกหรือคลอน แล้วใช้ Dowel ฝังเข้าไปในเนื้อไม้ และใช้ Bolt ขันเพื่อให้ดูดเนื้อไม้เข้าหากัน

 

guest

Post : 2014-10-27 11:13:31.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >   รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์

รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ 

เฟอร์นิเจอร์ แบ่งตามรูปลักษณ์ได้ 3ลักษณะคือ 

1.แบบแรกเริ่ม(PRIMITIVE) เป็นรูปแบบที่ยังคงวัสดุในสภาพเดิม เป็นการออกแบบที่ต้องการประโยชน์ใช้สอย มากกว่าการคำนึงถึงความสวยงาม

 

  

 

 

2.แบบคลาสสิค(CLASSIC) เป็นรูปแบบที่มีความสมบูรณ์ ในการออกแบบอย่างเต็มที่ ให้คุณค่าทั้งประโยชน์ใช้สอย และความสวยงาม


  


3.แบบสมัยใหม่(MODERN) เป็นรูปลักษ์ที่แสดงความเรียบง่ายตามสไตล์คนรุ่นใหม่ เน้นคุณค่าทางปประโยชน์ใช้สอยอย่างสมบูรณ์ บางครั้งก็ได้รับอิทธิพลตกทอดจากแบบคลาสสิค โดยลดหรือตัดทอนรายละเอียด อาจเรียกได้ว่เป็นแบบ โมเดิร์นคลาสสิค(MODERN CLASSIC)

 

  

 

guest

Post : 2014-10-21 15:28:11.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  พลาสติดที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์

พลาสติกชนิดต่างๆ

พลาสติกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เทอร์โมพลาสติก และ เทอร์โมเซตติงพลาสติก


เทอร์โมพลาสติก

     • เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) หรือเรซิน เป็นพลาสติกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว สามารถเปลี่ยนรูปได้ พลาสติกประเภทนี้โครงสร้างโมเลกุลเป็นโซ่ตรงยาว มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์น้อย มาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่าง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีน มีสมบัติพิเศษคือ เมื่อหลอมแล้วสามารถนำมาขึ้นรูปกลับมาใช้ใหม่ได้ ชนิดของพลาสติกใน ตระกูลเทอร์โมพลาสติก ได้แก่


     • พอลิเอทิลีน (Polyethylene: PE) เป็นพลาสติกที่ไอน้ำซึมผ่านได้เล็กน้อย แต่อากาศผ่านเข้าออกได้ มีลักษณะขุ่นและทนความร้อนได้พอควร เป็นพลาสติกที่นำมาใช้มากที่สุดในอุตสาหกรรม เช่น ท่อน้ำ ถัง ถุง ขวด แท่นรองรับสินค้า

 

     • พอลิโพรพิลีน (Polypropylene: PP) เป็นพลาสติกที่ไอน้ำซึมผ่านได้เล็กน้อย แข็งกว่าพอลิเอทิลีนทนต่อสารไขมันและความร้อนสูงใช้ทำแผ่นพลาสติถุงพลาสติกบรรจุอาหารที่ทนร้อน หลอดดูดพลาสติก เป็นต้น

 

     • พอลิสไตรีน (Polystyrene: PS) มีลักษณะโปร่งใส เปราะ ทนต่อกรดและด่าง ไอน้ำและอากาศซึมผ่านได้พอควร ใช้ทำชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น

     

     • SAN (styrene-acrylonitrile) เป็นพลาสติกโปร่งใส ใช้ผลิตชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

 

     • ABS (acrylonitrile-butadiene-styrene) สมบัติคล้ายพอลิสไตรีน แต่ทนสารเคมีดีกว่า เหนียวกว่า โปร่งแสง ใช้ผลิตถ้วย ถาด เป็นต้น

 

     • พอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinylchloride: PVC) ไอน้ำและอากาศซึมผ่านได้พอควร และป้องกันไขมันได้ดีมีลักษณะใส ใช้ทำขวดบรรจุน้ำมันและไขมันปรุงอาหาร ขวดบรรจุเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ เบียร์ ใช้ทำแผ่นพลาสติก ห่อเนยแข็ง ทำแผ่นแลมิเนตชั้นในของถุงพลาสติก



     • ไนลอน (Nylon) เป็นพลาสติกที่มีความเหนียวมาก คงทนต่อการเพิ่มอุณหภูมิ ทำแผ่นแลมิเนตสำหรับทำถุงพลาสติกบรรจุอาหารแบบสุญญากาศ

 

     • พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate: PET) เหนียวมากโปร่งใส ราคาแพง ใช้ทำแผ่นฟิล์มบาง ๆ บรรจุอาหาร

 

     • พอลิคาร์บอเนต (Polycarbonate: PC) มีลักษณะโปร่งใส แข็ง ทนแรงยึดและแรงกระแทกได้ดี ทนความร้อนสูง ทนกรด แต่ไม่ทนด่าง เป็นรอยหรือคราบอาหาร จับยาก ใช้ทำถ้วย จาน ชาม ขวดนมเด็ก และขวดบรรจุอาหารเด็ก

 

เทอร์โมเซตติงพลาสติก

 

        เทอร์โมเซตติงพลาสติก (Thermosetting plastic) เป็นพลาสติกที่มีสมบัติพิเศษ คือทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและทนปฏิกิริยาเคมีได้ดี เกิดคราบและรอยเปื้อนได้ยาก คงรูปหลังการผ่านความร้อนหรือแรงดันเพียงครั้งเดียว เมื่อเย็นลงจะแข็งมาก ทนความร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างไม่ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงก็จะแตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดำ พลาสติกประเภทนี้โมเลกุลจะเชื่อมโยงกันเป็นร่างแหจับกันแน่น แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแข็งแรงมาก จึงไม่สามารถนำมาหลอมเหลวได้ กล่าวคือ เกิดการเชื่อมต่อข้ามไปมาระหว่างสายโซ่ของโมเลกุลของพอลิเมอร์ (cross linking among polymer chains) เหตุนี้หลังจาก พลาสติกเย็นจนแข็งตัวแล้ว จะไม่สามารถทำให้อ่อนได้อีกโดยใช้ความร้อน หากแต่จะสลายตัวทันทีที่อุณหภูมิสูงถึงระดับ การทำพลาสติกชนิดนี้ให้เป็นรูปลักษณะต่าง ๆ ต้องใช้ความร้อนสูง และโดยมากต้องการแรงอัดด้วย เทอร์โมเซตติงพลาสติก ได้แก่


     • เมลามีน ฟอร์มาลดีไฮด์ (melamine formaldehyde) มีสมบัติทางเคมีทนแรงดันได้ 7,000-135,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทนแรงอัดได้ 25,000-50,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทนแรงกระแทกได้ 0.25-0.35 ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ทนความร้อนได้ถึง 140 องศาเซลเซียส และทนปฏิกิริยาเคมีได้ดี เกิดคราบและรอยเปื้อนยาก เมลามีนใช้ทำภาชนะบรรจุอาหารหลายชนิด และนิยมใช้กันมาก มีทั้งที่เป็นสีเรียบและลวดลายสวยงาม ข้อเสียคือ น้ำส้มสายชูจะซึมเข้าเนื้อพลาสติกได้ง่าย ทำให้เกิดรอยด่าง แต่ไม่มีพิษภัยเพราะไม่มีปฏิกิริยากับพลาสติก

 

     • ฟีนอลฟอร์มาดีไฮต์ (phenol-formaldehyde) มีความต้านทานต่อตัวทำละลายสารละลายเกลือและน้ำมัน แต่พลาสติกอาจพองบวมได้เนื่องจากน้ำหรือแอลกอฮอล์พลาสติกชนิดนี้ใช้ทำฝาจุกขวดและหม้อ

 

     • อีพ็อกซี (epoxy) ใช้เคลือบผิวของอุปกรณ์ภายในบ้านเรือน และท่อเก็บก๊าซ ใช้ในการเชื่อมส่วนประกอบโลหะ แก้ว และเซรามิก ใช้ในการหล่ออุปกรณ์ที่ทำจากโลหะและเคลือบผิวอุปกรณ์ ใช้ใส่ในส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้า เส้นใยของท่อ และท่อความดัน ใช้เคลือบผิวของพื้นและผนัง ใช้เป็นวัสดุของแผ่นกำบังนิวตรอน ซีเมนต์ และปูนขาว ใช้เคลือบผิวถนน เพื่อกันลื่น ใช้ทำโฟมแข็ง ใช้เป็นสารในการทำสีของแก้ว

 

     • พอลิเอสเตอร์ (polyester) กลุ่มของพอลิเมอร์ที่มีหมู่เอสเทอร์ (-O•CO-) ในหน่วยซ้ำเป็นพอลิเมอร์ที่นำมาใช้งานได้หลากหลาย เช่น ใช้ทำพลาสติกสำหรับเคลือบผิว ขวดน้ำ เส้นใย ฟิล์มและยาง เป็นต้น ตัวอย่างพอลิเมอร์ในกลุ่มนี้ เช่น พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต พอลิบิวทิลีนเทเรฟทาเลต และพอลิเมอร์ผลึกเหลวบางชนิด

 

     • ยูรีเทน (urethane) ชื่อเรียกทั่วไปของเอทิลคาร์บาเมต มีสูตรทางเคมีคือ NH2COOC2H5

 

     • พอลิยูรีเทน (polyurethane) พอลิเมอร์ประกอบด้วยหมู่ยูรีเทน (–NH•CO•O-) เตรียมจากปฏิกิริยาระหว่างไดไอโซยาเนต (di-isocyanates) กับ ไดออล (diols) หรือไทรออล (triols) ที่เหมาะสม ใช้เป็นกาว และน้ำมันชักเงา พลาสติกและยาง ชื่อย่อคือ PU

 

guest

Post : 2014-10-17 15:48:21.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  การดูแลรักษาหมอนใยสังเคราะห์

การดูแลรักษาหมอนใยสังเคราะห์

หมอนใยสังเคราะห์นั้นดูแลรักษาง่าย ไม่เหมือนกับหมอนใยฝ้ายที่สามารถนำไปผึ่งแดดได้เท่านั้น หมอนใยสังเคราะห์สามารถที่จะนำไปซักในเครื่องซักผ้าได้ เพราะว่าเมื่อเปียกน้ำเส้นใยแต่ละเส้นจะไม่เกาะตัวกันเหมือนเส้นใยธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อนำไปตากแดดให้แห้งจะสามารถคืนตัวกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นผ้าฝ้าย เมื่อเปียกน้ำจะเกาะตัวกันเป็นก้อน ดังนั้นก่อนที่จะนำเอาไปผึ่งแดดจะต้องผ้าเอาใยฝ้ายออกมาก่อนแล้วทำการตีให้ฟู จึงจะนำไปผึ่งแดดได้ สำหรับหมอนที่บุด้วยใยสำลีก็เป็นใยธรรมชาติเช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องผ่าเอาเส้นใยออกมาตีให้ฟูก่อนจึงจะสามารถนำเอาไปผึ่งแดดได้ จะเห็นได้ว่าหมอนที่ใช้เส้นใยสังเคราะห์จะดูแลรักษาง่ายกว่า อีกทั้งยังไม่มีเชื้อราให้รำคาญใจ ขจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าเส้นใยธรรมชาติ

guest

Post : 2014-10-13 16:41:24.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  โครเมียม

โครเมียม

 

โครเมียม มีคุณสมบัติที่พิเศษที่ได้รับความสนใจกันในภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน อย่างช้อนสแตนเลส มีดสแตนเลส เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ตู้โชว์ หรือจะเป็นภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็ล้วนแล้วแต่มีโครเมียมเป็นส่วนประกอบด้วย เนื่องจากว่ามีความเงางาม สามารถมารถที่จะนำเอามาขัดให้ขึ้นเงาได้ดี อีกทั้งยังสามารถที่จะใช้ในการป้องกันการผุกร่อนและยืดอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดี และทนความร้อนได้สูง ดังนั้นสำหรับเครื่องใช้ต่างๆ ที่เป็นโลหะก็มักที่จะมีส่วนผสมของโครเมียมรวมอยู่ด้วย

โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นก็จะนำไปใช้โดยกระบวนการชุบด้วยปฏิกิริยาทางไฟฟ้าสำหรับงานเคลือบผิวโลหะและพลาสติกบางประเภท ผสมเป็นโละหะผสมเพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ดีขึ้นอย่างช้อน-ส้อมสแตนเลส โครเมียมออกไซด์นำไปใช้ในการขัดผิวโลหะ  เกลือโครเมียมทำให้แก้วมีสีเขียวมรกต โครเมียมซัลเฟต จะใช้เป็นผงสีเขียว ใช้สำหรับงาน เซอรามิค วาร์นิช หมึก และงานเคลือบผิวโลหะ

guest

Post : 2014-10-09 12:13:52.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เส้นใยโพลีเอสเตอร์

โพลีเอสเตอร์ เส้นใยสังเคราะห์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดมา

 

คุณสมบัติของเส้นใยโพลีเอสเตอร์

  1. เมื่อนำเส้นใยไปส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ เมื่อดูที่ผิวจะเห็นได้ว่าจะมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอกันตลอดทั้งเส้นใย และลักษณะของเส้นก็จะมีลักษณะกลมเป็นส่วนใหญ่
  2. เส้นใยแต่ละชนิดจะมีความเหนียวที่แตกต่างกัน โดยจะมีค่าความเหนียวตั้งแต่ 2.5-9.5 กรัม/ดิเนียร์ แต่ถ้าเปียกน้ำก็จะมีความเหนียวลดลง
  3. มีความยืดหยุ่นที่ดี คืนตัวได้ดี ไม่ยับง่าย และคงรูปทรงและขนาดได้ดี
  4. ไม่สามารถดูดความชื้นได้ดีนัก โดยสามารถวัดค่าได้ที่ประมาณ 0.4-0.6% ในสภาวะปกติ ทำให้ย้อมสีได้ยากกว่าเส้นใยธรรมชาติ 
  5. สามารถทนต่อความร้อนได้ดี เนื่องจากจุดหลอมละลายอยู่ที่ประมาณ 230-290 องศาเซลเซียส และความร้อนไม่สามารถที่จะทำให้สีของเส้นใยจางลงได้ ถ้ารีดเนื้อผ้าด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่า Heat setting เมื่อไหม้ไฟเส้นใยก็จะยังคงไม่ได้รับอันตราย

 

คุณสมบัติทางด้านชีวภาพ

ผงซักฟอก สบู่ สารฟอกขาว ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเส้นใยได้  ทนต่อสภาพของแสงแดดได้ทุกช่วงเวลา เก็บไว้ได้นานไม่มี แมลงต่างๆ มอด และเชื้อราไม่ทำอันตรายเนื้อผ้า

 

คุณสมบัติทางด้านเคมี

เส้นใยโพลีเอสเตอร์นั้น ไม่ทนต่อด่างแก่และกรดแก่ เมื่อทำปฏิกิริยากับเนื้อผ้าจะส่งผลให้ความแข็งแรงของเส้นใยนั้นลดลง และถ้ามีความเข้มข้น อีกทั้งยังมีอุณหภูมิที่สูงก็จะทำให้เส้นใยหรือเนื้อผ้าขาดได้ ดังนั้นสารประกอบทางเคมีอย่าง เมต้าครีซอลฟีนอล สามารถที่จะทำให้เส้นใยละลายได้

 

ลักษณะการใช้งาน

โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะนิยมนำมาใช้สำหรับอุตสาหกรรมประเภทเครื่องนุ่งห่ม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าขนหนู ปลอกหมอน รองเท้า และอื่นๆ และมักจะนิยมนำมาผสมกับใยผ้าชนิดอื่นเพื่อเพิ่มคุณสมบัติที่ดีต่อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาแต่ละประเภท

guest

Post : 2014-10-08 16:38:49.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >   ความรู้เกี่ยวกับไม้สัก

ไม้สัก

 

            ไม้สัก มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Teak และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis อยู่ในวงค์ Verbenaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก

 

            ไม้สัก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลางและตะวันตก คือ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สำพูน เชียงราย สำปาง แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และพิจิตรและมีบ้างเล็กน้อยในจังหวัด นครสวรรค์ อุทัยธานี และกาญจนบุรี 

 

            ไม้สัก ชอบขึ้นตามพื้นที่ที่เป็นภูเขา แต่ในพื้นที่ราบที่น้ำไม่ขังไม้สักก็ขึ้นได้ดีเช่นเดียวกัน ในพื้นที่ที่เป็นดินปนทรายแต่น้ำไม่ขัง ไม้สักมักขึ้นเป็นหมู่ไม้สักล้วน ๆ และมีไม้ขนาดใหญ่ ไม้สักชอบพื้นที่ที่มีชั้นดินลึก การระบายน้ำดี ไม่ชอบดินแข็งและน้ำท่วมขัง

 

            ไม้สัก ขึ้นได้ดีในดินที่เกิดจากหินหลายชนิด แต่ความเจริญงอกงามของไม้สักขึ้นอยู่กับความลึก การระบายน้ำ ความชื้น และความอุดมสมบูรณ์ ของดินนั้น ๆ โดยเฉพาะในดินที่เกิดจากหินปูนซึ่งแตกแยกผุผังจนกลายเป็นดินร่วนที่ลึก ไม้สักชอบมากและเจริญเติบโตดีมาก ไม้สักชอบดินที่มีความเป็นกลางและด่างเล็กน้อย ค่า pH ระหว่าง 6.5-7.5 ปริมาณน้ำฝน ระหว่าง 1,200-2,000 มม. ต่อปี ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางไม่เกิน 700 เมตร และมีฤดูแล้งแยกจากฤดูฝนชัดเจนจะทำให้ไม้สักมีลวดลายสวยงาม


ลักษณะของไม้สัก


            ไม้สัก เป็นต้นไม้ผลัดใบ ขนาดใหญ่มีลำต้นเปลา มักมีพูพอน ตอนโคนต้นเรือนยอดกลม สูงเกินกว่า 20 เมตร

 

            เปลือก หนา 0.30-1.70 ซม. สีเทา หรือสีน้ำตาลอ่อนแกมเทา แตกเป็นร่องตื้น ๆ ไปตามทางยาวและหลุดออกเป็นแผ่นบาง ๆ เล็ก ๆ

 

            ใบ ใหญ่ ความกว้าง 25-30 ซม. ความยาว 30-40 ซม. รูปใบรีมน หรือรูปไข่กลับ แตกจากกิ่งเป็นคู่ ๆ ท้องใบสากหลังใบสีเขียว แกมเทา เป็นขน

 

            ดอก เล็กสีขาวนวล ออกเป็นช่อใหญ่ ๆ ตามปลายกิ่งเริ่มออกดอกเดือน มิถุนายน เป็นต้น 

 

            ผล ค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 ซม. ผลหนึ่ง ๆ มีเมล็ดใน 1-4 เมล็ด เปลือกแข็งมีขนสั้น ๆ นุ่ม ๆสีน้ำตาล หุ้มอยู่ ผลแก่ในราวเดือน พฤศจิกายน-มกราคม

 

            ลักษณะเนื้อไม้ สีเหลืองทอง ถึงสีน้ำตาลแก่ มีลายเป็นเส้นสีน้ำตาลแก่แทรก เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง เลื่อยใสกบ ตบแต่งง่าย


คุณสมบัติของไม้สัก


            ไม้สัก ปลวกและมอดไม่ทำอันตราย เพราะในเนื้อไม้สักมีสารเคมีพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ชื่อ O-cresyl methyl ether สารเคมีชนิดนี้ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ของกรมป่าไม้ มีคุณสมบัติ เมื่อทาหรืออาบไม้แล้วไม้จะมีความคงทนต่อ ปลวก แมลง เห็ดราได้อย่างดียิ่ง นอกจากนี้ในไม้สักทอง ยังพบว่ามีทองคำปนอยู่ 0.5 ppm. (ไม้สักทอง 26 ต้น มีทองคำหนัก 1 บาท) 

 

            ไม้สัก เป็นไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้ จากการทดลองตามหลักวิชาการไม้สักมีความแข็งแรงสูงกว่า 1,000 กก./ตร.ซม. และมีความทนทานตามธรรมชาติ จากการทดลองนำส่วนที่เป็นแก่นของไม้สักไปทดลองปักดิน ปรากฏว่า มีความทนทานตามธรรมชาติเกินกว่า 10 ปี (ระหว่าง 11-18 ปี)

 

1 | 2 다음 끝

สนใจสั่งซื้อสามารถ Email:rdn.246@gmail.com ตลอด 24 ชม.

ID: 0927605230

ติดต่อ 094-153-1653